เทศน์เช้า วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ด้วยความเชื่อความศรัทธา เรามีความศรัทธานะ เราถึงทำบุญกุศลกันเห็นไหม แล้วถ้าศรัทธา ศรัทธาผู้ใดล่ะ หลวงตาท่านพูดประจำสำคัญที่ผู้นำ ถ้าผู้นำดีเห็นไหม เป็นที่วางใจได้ อุ่นใจได้ นี้ก็เหมือนกันเราเป็นหัวหน้า ถ้าเป็นหัวหน้าเราต้องรับผิดชอบหมดเห็นไหม เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ ก็เคารพกัน เราเรียกว่าพ่อแม่ ครูอาจารย์ พ่อแม่เห็นไหมเลี้ยงเรามาครูบาอาจารย์ให้การศึกษาเล่าเรียนเรามา นี้ก็เหมือนกันพ่อแม่ครูอาจารย์ ให้ทั้งการศึกษา ให้ทั้งชีวิต ให้ทั้งปัจจัยเครื่องอาศัย ฉะนั้นหัวหน้าเป็นผู้รับผิดชอบ ต้องดูแลเจือจานกันนะ ถ้าหัวหน้าเห็นไหม
หลวงตาท่านพูดบ่อย ท่านเคยไปเที่ยวธุดงค์ไป ไปเจอวัดไหนก็แล้วแต่ ถ้าหัวหน้าเอาแต่ประโยชน์ของตัวเองเห็นไหม เห็นแต่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ไม่เคยมองลูกศิษย์ลูกหา ท่านถามตัวเองว่าเราจะทำอย่างนี้ได้ไหม เราจะไม่ทำอย่างนี้นะ เห็นไหม เราธุดงค์ไปตัวอย่างที่ดีก็มี ตัวอย่างที่ไม่ดีก็มี เราไปศึกษามา สิ่งที่ไม่ดีเราเตือนตัวเองว่า เราจะไม่ทำอย่างนั้น แต่ถ้าว่าเราทำสิ่งที่ดีเห็นไหม เราจะเจือจานกันเราจะดูแลกัน พูดถึงดูแลรักษากันพ่อแม่ครูอาจารย์ ผู้นำที่ดีเห็นไหมมันจะชักพาโคฝูงนั้นให้ไปสู่ที่สุขสบายได้ ถ้าผู้นำที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวก็มีคนเชื่อถือเหมือนกันนะ แต่พาโคฝูงนั้นไปสู่วังน้ำวน วังน้ำวนคือวัฏฏะมันจะดูดกลืนเราไป
เห็นไหม ศาสนาเจริญ วันนี้เขาบวชกันนะตามประเพณีวัฒนธรรม มีศาสนานะ ถ้ามีศาสนาเห็นไหมเราก็มีประเพณี วัฒนธรรมของเรา แต่ถ้าไม่มีศาสนาล่ะในปัจจุบันนี้ วัยรุ่นจะบอกเลย ว่าเขาไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย เพราะเอาวิทยาศาสตร์เข้าไปจับแล้วนะ ศาสนาไหนก็มีแต่การหลอกการลวงทั้งนั้น ศาสนาต่างๆเขียนเสือให้วัวกลัว นรก สวรรค์ เอานรกมาหลอกกัน เอาสวรรค์มาล่อกัน เห็นไหมศาสนาเขียนเสือให้วัวกลัว นั้นเป็นเรื่องของเขานะ
เวลาเขาคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ คิดแบบคนรุ่นใหม่เห็นไหม เขาไม่มีศาสนาจนทะเบียนบ้านเดี๋ยวนี้นับถือศาสนาใด เขาก็บอกว่าไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย แต่ความจริงเขานับถือโดยที่ไม่รู้ตัวของเขา เขานับถือศาสนาเงินไง เขานับถือศาสนาเงิน เขาคิดว่าเงินนั่นมีคุณค่ากับเขานะ นั่นเวลาเขายังไม่ทุกข์ไม่ยาก แต่เวลาเขาทุกข์เขายาก เขาจะมีความทุกข์นั่งอยู่บนกองเงินกองทองเลย เขาก็จะบอกว่าเงินทองให้ความสุขกับฉันสักที เงินทองให้ความสุขสบายกับฉันบ้าง
เงินทองช่วยรักษาฉัน เงินทองจะช่วยอะไรไม่ได้เลยเพราะมันเป็นความทุกข์ความสุขในหัวใจเห็นไหม เงินทองเห็นไหม ศาสนาไม่ได้ปฏิเสธเงินทองนะ ดูวินัยของเราสิมหากัปปนะเห็นไหม มหากัปปนะถามอุทายี อุทายี เวลาพระเจ้าพิมพิสารประหารคน ประหารด้วยเท่าไร ๕ มหากัปปนะครับ นี้ก็เหมือนกัน ถ้าพระฉ้อโกง หยิบเงินของใครเกินมหากัปปนะ คิดค่าสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าท่านคิดค่าออกมาได้ค่าเป็นหนึ่งบาท หนึ่งบาทสมัยนั้นนะ หมายถึงว่าค่าของมันหนึ่งบาทเท่ากับเม็ดข้าวสาร ๕ หรือ ๖ เม็ดจำไม่ได้ เม็ดทองคำเท่าเม็ดข้าวสารค่าของมันนะ ถ้าพระฉ้อโกงอย่างนั้นให้ถือเป็นปาราชิก ถือว่าช่อโกงเขานะ นี้ไง
ศาสนาไม่เกี่ยวกับเงินทองหรือ เงินทองมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเห็นไหม คนนะถ้ามีปัญญาขึ้นมาเขาไม่ปฏิเสธอะไรโดยเด็ดขาดหรอก สิ่งใดเพราะมันเกิดมาในโลกเรามีชีวิต ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็ต้องอาศัยการทำหน้าที่การงานของเรา มันได้มาด้วยความชอบธรรม สิ่งนี้ไม่ใช่กิเลสเราขยันหมั่นเพียร เราทำงานของเราขยันหมั่นเพียร เราประกอบกิจการของเรา เราได้ผลตอบแทนมา นั่นเป็นบุญกุศลของเรา บุญกุศลนี่ไม่ใช่กิเลส
กิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่คาดหมาย เราขาดไม่ได้ เราคาดการณ์ของเราด้วยความทุกข์ความยากอันนั้นเป็นกิเลส แต่สิ่งใดทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยชอบธรรม สิ่งนั้นไม่ใช่กิเลส มันเป็นหน้าที่การงานของเรา เพราะเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ศาสนาเงิน ถ้าศาสนาเงินเอาเงินเป็นตัวตั้งเห็นไหม คิดสิ่งใด เงินก็เหยียบย่ำ บีบคั้นเราเห็นไหม นั่นนะศาสนาเงิน ศาสนาพุทธ พุทธะ ศาสนาพุทธสอนเรื่องอะไร ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าจิตใจมันเบิกบานใจเรามีกุศลเงินทองนั่นเป็นประโยชน์มากเลย ดูสิ อนาถบิณฑิกเศรษฐีเอาเงินนี้ปูพื้นเลยเพื่อที่จะสร้างวัดขึ้นมา แต่เวลาเวรกรรมของเขามาเห็นไหม
เงินทองในสมัยโบราณไม่มีธนาคาร เขาก็ใส่ไหฝังดินไว้ น้ำมันเซาะตลิ่งพัง เงินทองนั้นหายไปหมดเลย ถึงเวลาคราวทุกคราวยากมาเห็นไหม คราวทุกคราวยากมา จนเทวดามาเยาะเย้ย เทวดาอยู่ที่ซุ้มประตู เห็นไหมเขาทำบุญแล้วได้บุญเห็นไหม ท่านทำจนจะหมดตัวท่านยังทุกข์ยากอยู่อย่างนั้น ขนาดท่านทุกข์ยากอยู่อย่างนั้นแต่หัวใจเป็นบุญ ไล่เทวดาไปเลย เทวดาเมื่อสมัยที่คนยังมีศีลธรรม เขามีสัจจะ เขาพูดกันเข้าใจ จงออกไปจากซุ้มประตูอย่ามาอยู่ซุ้มประตูนี้เห็นไหม เทวดาต้องไปนะ เพราะซุ้มประตูนั้นเป็นของอนาถบิณฑิกเศรษฐีออกไป ถึงไปรำพันกับพวกเทวดาว่าเข้าไปเตือนด้วยความเห็นของเขาเห็นไหม ไปเตือนเขากลับไล่ออกมา มีความทุกข์ความยากให้คนมาขออภัยจะได้มีที่อยู่ที่อาศัยไง อย่างนั้นต้องไปหาพระพุทธเจ้า ไปหาพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าบอกว่าให้ไปหาพระอินทร์
พระอินทร์บอกว่าเธอต้องไปเอาสิ่งที่น้ำเซาะไป พวกเงินทองนั้นให้กลับมาคืนเขา เพราะเงินทองมันไหลไป น้ำมันพัดไปก็สะสมเหมือนเราร่อนทองเห็นไหมมันจะไปรวมกัน สิ่งนั้นถ้าเราเอากลับขึ้นมา สิ่งที่เซาะไปมันกลับขึ้นมาเพิ่มหลายเท่าตัวเลย อนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงกลับมามีฐานะแบบเดิมเห็นไหม เงินทองก็คือเงินทองแต่จิตใจที่เข้มแข็ง จิตใจที่มีจุดยืนของเขาเห็นไหม แม้แต่เทวดายังจิตใจอ่อนแอกว่าเลย เห็นไหม เขาว่าทำบุญแล้วได้บุญกุศลนะ ท่านทำบุญจนหมดเนื้อหมดตัว ท่านทำบุญมาเพื่ออะไร จิตใจของเทวดาอ่อนแอกว่าของมนุษย์เห็นไหม จิตของอนาบิณฑิกเศรษฐีเป็นพระโสดาบันแล้ว เห็นไหม
จะทำๆ จะทำเห็นไหมเงินทองส่วนเงินทอง แต่หัวใจมันสูงค่ากว่า พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งเงินทอง ทำบุญแล้วได้บุญอย่างนั้น ทำบุญแล้วเป็นบุญนะ บุญมันเป็นโอกาสเป็นจังหวะ เห็นไหม เราทำบุญของเรา ดูสิ เวลาเราปลอดโปร่ง เวลาเรามีความคิดที่ดีๆเราจะสุขกายสบายใจมากเลยแล้วเกี่ยวกับเงินทองไหมล่ะ แต่ถ้าวันไหนเราทุกข์เรายากขึ้นมาเงินทองก็เท่าเก่า มันก็อยู่ในเซฟนั่น เราก็ทุกข์ของเราอย่างนั้นนะ แต่ถ้าวันไหนจิตใจเรามีความสุขขึ้นมานะ เงินทองมันก็อยู่ในเซฟนั่นนะ ทำไมจิตใจเรามีคุณค่าขึ้นมาเรามีความสุขขึ้นมาล่ะ ความสุขมันเกิดจากสติปัญญาขึ้นมาเห็นไหม
ชีวิตนี้อาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย จิต ความรู้สึกของเราอาศัยบุญกุศล อาศัยบุญอาศัยกรรมอาศัยสิ่งที่เป็นประโยชน์ของเรา แล้วบุญกรรมแล้วมันมาจากไหนล่ะ คนที่มันฉลาดนะ คนที่โง่เห็นไหมดูสิ หลวงปู่มั่นท่านเล่าให้ฟัง ท่านข้ามโขงไปฝั่งลาวประจำ ทีนี้เวลาข้ามโขงมันต้องอาศัยเรือไง อาศัยเรือให้เขาข้ามไป แล้วพระธุดงค์เรามันไม่มีตังค์ อาศัยเรือข้ามไป พอเขาพายเรือข้ามฝั่งไปส่ง เราเป็นพระเราก็บอก เอาบุญไปนะ คือเอาบุญไปเถอะเนอะไม่มีตังค์ให้ค่าเรือ คนซื่อเนอะ บุญเป็นอย่างไร บุญเป็นอย่างไร หลวงปู่มั่นท่านไม่รู้จะทำอย่างไรก็แคะขี้มูกเลย แคะขี้มูกให้ คนซื่อก็คนซื่อเนอะ เอาขี้มูกให้ใส่มือ เขาก็เอาใส่ปาก เอ้อ..บุญมันเค็มๆ เนอะ คนไม่รู้จักบุญมันขนาดนั้น นี้เรื่องจริงนะ คนซื่อมันก็ซื่อขนาดนั้น แล้วบุญกุศลเป็นอย่างไร บุญมันเค็มๆ ใช่ไหม
บุญมันคือความโล่งใจ ความสุขใจของเรา เราได้ทำบุญกุศลแล้วเห็นไหม ด้วยความเชื่อมั่นของเรา นี่จุดยืนของใจ ใจถ้าที่มีจุดยืนของเรา เรามั่งคงของเรา สิ่งที่เสียสละได้ เราเสียสละเราเสียสละด้วยใจของเรา พอมีนินทากาเลมานะ ทำอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น เราก็เคลื่อนตามเขาหมดเลย มันเป็นเจตนาของเรา เรานี่โตมากกว่าเขา เรามีจุดยืนมากกว่าเขาเขาเด็กอ่อน เขาเด็กน้อยกว่าเราเห็นไหม เขาก็ไปทำบุญตามประเพณีเห็นไหม ต้องถวายทาน ต้องกล่าวคำถวาย ต้องสวดพาหุงฯ ต้องทำอย่างนั้นถึงจะได้บุญนะ ไปทำบุญโดยจะสละทานอย่างนี้ไม่ได้บุญหรอกเห็นไหม เขาเด็กๆ เวลาเด็กมาพูดกับเรา เราเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ เราเสียสละด้วยความมั่นคง ด้วยเจตนาของเรา เราเสียสละอย่างผู้ใหญ่ไม่ต้องมีพิธีกรรมออกมายืนยันอีกทีว่า ฉันจะทำบุญนะ ฉันอ่อนแอใช่ไหม ฉันทำบุญไม่ได้หรอก ต้องกล่าวคำถวายก่อน ให้มันมั่นคงแล้วค่อยถวายไป
แต่เรานี้จิตใจเรามั่นคง เราทำด้วยเจตนาของเรา ด้วยหัวใจของเรา เรามันเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา ให้เด็กๆมันมาเป่าหูหน่อยเดียวนี่คลอนแคลนไปกับเด็กๆได้อย่างไร จิตใจเราพัฒนาขึ้นมาแล้วเห็นไหม จิตใจเราเข็มแข็ง จิตใจเรามีเจตนาบริสุทธิ์แล้วใช่ไหม เราถวายด้วยหัวใจของเราแล้วใช่ไหม ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับรับด้วยความบริสุทธิ์ บุญนั้นมหาศาล มหาศาลอย่างไร มหาศาลตรงที่ว่ามันไม่ระคายเคืองกับใจเราไง หัวใจเรามั่นคงเราทำแล้วเราสบายใจไหม สิ่งที่ทำไปแล้วมัน มันพอใจไหมเขาจะติฉิน นินทากันขนาดไหน เขาจะส่งเสริมขนาดไหน เขาจะพูดขนาดไหน เขาจะถากถางขนาดไหน มันเรื่องของเด็กๆ หัวใจเขาเด็กๆ หัวใจเขาไม่มีจุดยืนของเขา
เขาทำบุญตามประเพณีขึ้นมาเขาบอกว่าเขาทำคือมีประเพณี ของเราไม่มีอะไรเลยมาถึงก็ยกให้ยกให้ ไอ้ยกให้ยกให้นั่นแหละของจริง ไอ้ที่กล่าวคำถวายสิบปีห้าปีนั่นมันไม่แน่นอนจิตใจมันไม่มั่งคงเห็นไหม มันบุญเด็กๆ เห็นไหม ถ้ามันพัฒนาแล้วเราจะมีจุดยืนของเรา สิ่งนั้นมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เอาไว้สอนเด็กๆ เวลาเด็กๆมาวัดเห็นไหม แม่ทำอย่างไร ทำไม่เป็น ต้องทำอย่างนี้นะ วางแล้วกล่าวคำถวายอย่างนี้นะ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมที่ทำไว้ให้มันสวยงาม
แต่หัวใจเราเข้มแข็งใช่ไหม แล้วประเพณีวัฒนธรรมล่ะ ดูสิ เวลาเราไปตลาดมาเราซื้อส้มมา เราจะกินเปลือกส้มไหม ส้มพอซื้อมาแกะเปลือกทิ้งนะ ประเพณีวัฒนธรรมมันมีเนื้อในของมัน เนื้อในของมันคือความรู้สึก ความรู้สึกของหัวใจไอ้นั่นมันเปลือกแต่เนื้อในของมันคือเจตนาความมั่งคง ศาสนาเขาสอนกันที่นี่ แล้วถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมา มีสติปัญญาขึ้นมามันจะพัฒนาเราขึ้นมาเห็นไหม เราจะรู้หมดล่ะ พอเรารู้ขึ้นมาแล้วเหมือนผู้ใหญ่มองเด็กเลย อืม เราก็เป็นเด็กมาก่อน เราก็ไปวัดไปวาอย่างนี้แหละ เราต้องถวายทานก่อน การถวายทานแล้วใครมาบอกว่าอันนี้ไม่ได้บุญนะ โอ้โฮ ทุกข์มาก แล้วทำอย่างไรถึงได้บุญล่ะ บอกมาสิ บอกต้องทำอย่างนั้นอย่างนั้น โอ้ ทำใหญ่เลย
มันก็ไอ้ข้าวขันเก่านั้นแหละ ไอ้กล่าวคำถวายมันก็ข้าวขันนั้นแหละ เวลายกถวายก็ข้าวขันนั้นแหละ แหม ต้องกล่าวคำถวายเหมือนกับข้าวสิบขัน มันก็ข้าวขันเก่านั้นแหละ เห็นไหม พอเขาพูดขึ้นมาเราก็คลอนแคลนไปกับเขา
นี้พูดถึงศาสนา พูดถึงประเพณีวัฒนธรรม แต่ถ้าเรามีจิตใจมั่นคงขึ้นมาแล้ว เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา คำว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาคือมันมั่นคงขึ้นมา เรามีจุดยืนของเราขึ้นมา เราเป็นจุดยืนสิเราจะผ่องถ่าย เราจะส่งศาสนาให้กับลูกหลานของเราเห็นไหม ทำอย่างนั้นถูกไหม ถูก ถูกของผู้ที่ฝึกหัด เพราะไม่มีพิธีกรรม ไม่มีรูปแบบ ไม่มีสิ่งใดๆ เลยจะทำอย่างไรล่ะ ก็เขายังจับต้องในสิ่งใดๆ ไม่ได้ แต่พอเราโตขึ้นมาเรามีจุดยืนของเรา เรารู้แล้ว อย่างเช่นเราภาวนา ลมหายใจ พุทโธ พุทโธ มันอยู่ที่ไหน เป็นนามธรรมจับต้องใดๆ ไม่ได้เลย แต่คนที่ภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธกับจิตมันเป็นอันเดียวกัน มันยิ่งมั่นคง แต่เราจับอะไรไม่ได้เลยมันคลอนแคลน พุทโธอยู่ไหน ตะครุบกบ ตะครุบเขียด ตะครุบออกไปข้างนอก ได้กบเขียดมันอยู่กับเรา
พุทโธ ใจมันอยู่กับเรา พุทโธ พุทโธ มันมีจุดยืนขึ้นมา ถ้ามีจุดยืนแล้วมันมองเห็นหมด เห็นแล้วเราจะยกเป็นบุคคลาธิษฐาน เป็นตัวอย่าง เป็นคนแนะนำสั่งสอนเขา ถ้าเขาได้ประโยชน์ เขามีความสามารถ เขาจะพัฒนาขึ้นมากับเรา แต่ถ้าเขาไม่มีวุฒิภาวะ เขาก็บอกว่าของเราพูดกันหลักลอย ไอ้ของเขาพูดตามศาสนพิธีนะ ตำราบอกอย่างนี้เลยล่ะไอ้เราพูดกันไม่มีอะไรรับรองเลย บุญกุศลรับรองความจริงในหัวใจรับรอง ความรู้จริงของเรารับรอง เรามีจุดยืนของเราเพื่อประโยชน์กับเรา นี่พุทธศาสนา เรามีศาสนาประจำใจ ไม่มีศาสนาเงินศาสนาทองประจำใจมีพุทธศาสนา พุทธศาสนาที่ทำให้สิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ เรามีศาสนาประจำใจเพื่อประโยชน์กับเรา เราเป็นชาวพุทธเห็นไหม พุทธศาสนาเพื่อประโยชน์กับชาวพุทธ เอวัง